
ตลาดเก่า 100 ปี
พบว่าเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ถนนตรงกลางมุงหลังคาพอให้กันแดดกันฝน แต่ก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา บางหลังไร้ผู้คนอยู่อาศัย แต่บางหลังก็อยู่อาศัยตามปกติ
ตลาดคลอง 12 หกวา เป็นตลาดโบราณสไตล์วินเทจ
ที่ยังคงบรรยากาศแบบชนบทและวิถีชีวิตดั้งเดิม ทั้งยังเป็นสถานที่ถ่ายทำละครโทรทัศน์ชื่อดังมากมาย และแม้ว่าจะเป็นตลาดเก่าแต่หัวใจผู้คนยังสดใสพร้อมต้อนรับทุกคนที่มาเยือน

ตลาดคลอง 12 หกวา มีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา แต่เดิมเป็นที่รกร้างห่างไกลจากความเจริญ และเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ที่เรียกว่า “ทุ่งหลวง” ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2431 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้มีการขุดคลองภายในโครงการที่เรียกว่า “Scheme of Irigation in Siam” ซึ่งเป็นระบบชลประทานสมัยใหม่ในสมัยนั้น โดยมีเหตุผลสำคัญ คือ การขยายพื้นที่ปลูกข้าวเพื่อการบริโภคและส่งออก การเป็นพื้นที่รองรับชาวจีนที่อพยพมาจากเมืองจีนและต้องการแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ในประเทศไทย และประกอบกับความต้องการในการผลักดันให้ไพร่และทาสที่เป็นอิสระได้มีการประกอบอาชีพทำมาหากินเป็นของตนเอง โดยใช้พื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่สำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม จึงเกิดเป็นบริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม ในช่วงแรกมีผู้ร่วมหุ้น 4 คน ได้แก่
- พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์
- พระนานาพิธภาษี
- นายโยคิม แกรซี สถาปนิกชาวอิตาลี ซึ่งเป็นคนของฝรั่งเศส
- หม่อมราชวงศ์สุวพรรณ์ สนิทวงศ์
โดยมีนายโยคิม แกรซี เป็นผู้จัดการบริษัท ซึ่งได้รับอนุญาตให้ขุดคลองขึ้น โดยค่าจ้างการขุดคลองจะเป็นที่ดินบริเวณริมสองฝั่งคลอง ในขณะที่ดำเนินการขุดคลอง บริษัทฯ มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในการดำเนินการ เช่น ค่าเครื่องจักร ค่าเสมียน ค่าวิศวกร ค่าพนักงาน และค่าแจ้งแรงงานกุลี บริษัทฯ จึงต้องเร่งหาเงินโดยให้ประชาชนที่สนใจสามารถเข้ามาจับจอง และจ่ายเงินล่วงหน้าบางส่วน โดยจะออกใบจองที่เรียกว่า “ใบตรอก” และเรียกการจองว่า “ขอตรอก”
ใน พ.ศ. 2440 โครงการขุดคลองหกวาสายล่างได้ทำการขุดเสร็จเรียบร้อย โดยประชาชนในสมัยนั้นมักจะชอบลักลอบเข้ามาจับจองที่ดินทำนาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่ดิน เนื่องจากในสมัยนั้นเพิ่งมีการเลิกทาส ข้าทาสและไพร่จึงยังไม่ค่อยมีเงินมากนัก และหากซื้อที่ดินเป็นของตนเองต้องมีการเสียภาษี ทำให้ที่ดินส่วนใหญ่จึงเป็นของเชื้อพระวงศ์ กลุ่มพ่อค้า และบาทหลวงชาวคริสต์ โดยแรกเริ่มกลุ่มบาทหลวงชาวคริสต์นำโดยคุณพ่อเอเตียน บาร์เทโลมี แดซาลส์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแม่พระลูกประคำ กาลหว่าร์ ได้จัดตั้งชุมชนชาวคริสต์ขึ้น โดยหวังให้คริสต์ศาสนิกชนอาศัยอยู่ในพื้นในเดียวกัน จะได้เดินทางและมาร่วมพิธีกรรมทางศาสนาได้สะดวก ประกอบกับในเวลานั้นได้มีการขุดคลองขึ้นหลายสายผ่านทุ่งราบที่เป็นพื้นที่โล่งและยังไม่มีคนเข้าไปอยู่อาศัยในบริเวณทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา หรือที่เรียกว่า ทุ่งหลวง รังสิต คุณพ่อแดซาลส์ จึงได้เรียกประชุมบรรดาเถ้าแก่ที่เป็นสัตบุรุษวัดกาลหว่าร์เพื่อทำการตกลงในการจัดตั้งบริษัทขึ้น โดยกลุ่มพ่อค้าและบาทหลวงชาวคริสต์ได้ซื้อที่ดินบริเวณฝั่งตะวันออกของคลองแปด หรือที่เรียกกันว่า “ลำไทร” โดยมีการจัดตั้ง ลำไทรบริษัท ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2440 โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะได้รับพระราชทานสิทธิ์ในการซื้อที่ดินแปลงใหญ่จากรัฐบาลมาเป็นพื้นที่ทำการเกษตรจำนวน 8,000 ไร่ (หอจดหมายเหตุ อัครสังคมฑลกรุงเทพ, 2440) ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งถิ่นฐานจากการเข้ามาของกลุ่มบาทหลวงในพื้นที่ และต่อมาได้มีการอพยพเข้ามาในพื้นที่ของคนหลายเชื้อชาติ คือ ชาวจีนที่เดินทางอพยพมาจากเมืองจีน (ชัวเถา) ชาวจีน (มาเลเซีย) ชาวญวนที่อพยพมาตามเส้นทางการเผยแผ่ศาสนา ชาวมุสลิม และกลุ่มผู้มารับจ้างขุดคลอง (กลุ่มกุลี) ทำให้มีความต้องการที่ดินทำกินเป็นของตนเอง แต่เนื่องจากพื้นที่ในบริเวณตลาดคลองสิบสองหกวาถูกซื้อโดยกลุ่มบาทหลวง จึงได้มีข้อแลกเปลี่ยนกันระหว่างบาทหลวงและชาวจีน โดยให้ชาวจีนเปลี่ยนการนับถือศาสนามาเป็นนับถือศาสนาคริสต์ เพื่อแลกกับการมีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง จึงเกิดเป็นจุดเริ่มต้นในการตั้งถิ่นฐานบริเวณตลาดคลอง 12 หกวาขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไปพื้นที่บริเวณตลาดคลองสิบสองหกวามีจำนวนประชากรในพื้นที่มากขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการในการอุปโภคและบริโภคมากขึ้นตามไปด้วย ต่อมาใน พ.ศ. 2441 จึงเกิดเป็นพื้นที่สำหรับการค้าขายบริเวณจุดบรรจบกันของคลอง 12 และคลองหกวาสายล่าง โดยมีจุดกำเนิดจากชาวจีนกลุ่มหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญทางการค้าได้จัดตั้งตลาดขึ้น เพราะที่ดินบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก นอกจากจะมีชาวจีนที่นับถือศาสนาคริสต์มาขออยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีชาวจีนที่เป็นคนต่างศาสนามาขออาศัยอยู่ด้วย จึงเริ่มมีการเข้ามาอยู่อาศัยของคนจีนที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ โดยแรกเริ่มตลาดคลองสิบสองหกวาสร้างอย่างเรียบง่าย ยังไม่มีการก่อสร้างอาคารหรือหลังคาปกคลุม ส่วนมากจะเป็นลักษณะการค้าขายแบบวางขายบนดินหรือหาบมาขายจากเรือ โดยกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ามักจะเป็นชาวจีนเป็นส่วนใหญ่
ใน พ.ศ. 2447 ตลาดคลองสิบสองหกวาได้เริ่มสร้างเป็นลักษณะของอาคาร โดยท่านขุนอนุสรมหาศาล หรือชื่อเดิมคือ เอี้ยว สุริยะมงคล หรือชื่อภาษาจีนว่า ตังเช่งกี่ หรือ ตั้งอิ้วเจี่ย โดยท่านมีเชื้อสายจีนแช่ตั้ง และเปลี่ยนมาใช้นามสกุลเป็น “สุริยะมงคล” ซึ่งท่านขุนอนุสรมหาศาล ก็ถือเป็นชาวจีนในพื้นที่ที่ได้มีการเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ โดยใช้ชื่อนักบุญว่า ยวง ท่านได้สร้างบ้านไม้เพื่อให้เช่าจำนวน 10 ห้อง ฝั่งละ 5 ห้อง หันหน้าเข้าหากัน โดยเริ่มสร้างจากร้านกาแฟเตียย่งหลี ต่อมาใน พ.ศ. 2448 เมื่อมีชาวจีนอพยพเข้ามาในพื้นที่จำนวนมากขึ้น จึงได้สร้างบ้านไม้ให้เช่าเพิ่มขึ้นจนมีจำนวนมากกว่า 150 ห้อง และมีการสร้างท่าเรือในแต่ละช่วงของตลาดเนื่องจากในสมัยนั้นเน้นการคมนาคมทางน้ำเป็นหลักในการติดต่อค้าขายและเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งผู้อาศัยส่วนมากจะทำการค้าขายในบริเวณชั้นล่างของบ้านและใช้ชั้นสองสำหรับการอยู่อาศัย จึงกลายเป็นตลาดและใช้ชื่อว่า “ตลาดคลอง 12 หกวา” ซึ่งถือเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของตลาด จนมีคำเปรียบเปรยที่คนจีนในพื้นที่พูดกันเป็นภาษาแต้จิ๋วว่า “ทั่งจี้ คองจับหยี่ ฉั่วโบ้ คองไซซี” ที่แปลว่า หากต้องการหาเงินหาทอง ต้องมาที่คลอง 12 แต่หากจะหาคู่ครอง ต้องเป็นหญิงจากคลองนครชัยศรี แสดงถึงความเจริญด้านเศรษฐกิจ การค้าขายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตลาดคลอง 12 และนอกจากนั้น พื้นที่แห่งนี้ยังมีนาข้าวจำนวนมหาศาลจนทำให้ตลาดแห่งนี้มีโรงสีจำนวน 3 แห่ง และมีร้านค้าในตลาดมากกว่า 150 ร้านค้า หลังจากช่วงรุ่งเรืองเป็นต้นมา ตลาดคลอง 12 หกวาได้มีการพัฒนาอย่างมากทำให้เกิดถนนต่าง ๆ เช่น ถนนดิน ถนนลูกรัง ตัดผ่านบริเวณทางท้ายสุดของตลาดไปสู่พื้นที่ใกล้เคียงแต่การเดินทางทางเรือเป็นที่นิยมมากกว่า ผู้ที่ต้องการจะเดินทางไปกรุงเทพมหานคร ต้องอาศัยการนั่งเรือเข้าไปในเมือง
ต่อมาหลังจากประเทศไทยเกิดการพัฒนาและเรียนรู้ที่จะก่อสร้างถนนเพื่อใช้สำหรับรถยนต์ในการเดินทางสัญจร ใน พ.ศ. 2510 เป็นช่วงที่มีการพัฒนาถนนรังสิต-นครนายก ทำให้การคมนาคมทางน้ำหมดความสำคัญ การสร้างถนนในครั้งนี้เริ่มเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ตลาดคลอง 12 หกวากำลังจะถูกเปลี่ยนบทบาทไปในอีกแง่มุมหนึ่ง จนใน พ.ศ. 2522 สุขาภิบาลลำไทรได้ทำการตัดถนนเส้นใหม่ คือ ถนนประชาสำราญที่มีการเชื่อมต่อมายังพื้นที่บริเวณหน้าตลาดคลอง 12 หกวา ทำให้ผู้คนหันมาใช้รถใช้ถนนในการเดินทางกันมากขึ้น ร้านค้าในตลาดก็เริ่มลดน้อยลงจากเดิมที่เคยรุ่งเรือง และต่อมาใน พ.ศ. 2531 ก็เกิดโครงการสร้างอาคารพาณิชย์และลานตลาดสดบริเวณด้านหน้าริมถนน ส่งผลให้การคมนาคมทางเรือเริ่มลดบทบาทลงอย่างมาก และผู้คนเริ่มย้ายออกมาด้านนอกเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ทำให้ตลาดเก่าเริ่มลดบทบาทจากการเป็นตลาดที่ครึกครื้น และเป็นแหล่งเศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่ สู่การกลายเป็นตลาดเก่าแก่ที่ผู้คนที่อยู่อาศัยเดิมย้ายออกเพื่อไปอยู่อาศัยใกล้กับถนน เพื่อความสะดวกในการเดินทาง จนมาถึง พ.ศ. 2540 ร้านค้าในตลาดแทบจะไม่เหลือร้านค้าอยู่เลย จากเดิมที่ผู้คนในพื้นที่มักจะเข้ามาซื้อของกินของใช้ในตลาดคลอง 12 หกวา ก็กลายเป็นว่าหันไปซื้อข้าวของเครื่องใช้จากอาคารพาณิชยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทอดยาวตามแนวถนนประชาสำราญ ซึ่งร้านค้าเหล่านี้ส่วนมากเคยมีครอบครัวหรือบรรพบุรุษที่อาศัยอยู่ในตลาดคลอง 12 หกวาในอดีต แต่ได้มีการย้ายออกมาเช่าอาคารภายนอกตลาดเพื่อการอยู่อาศัยแทน
ใน พ.ศ. 2556 เป็นช่วงที่ละครแนวย้อนยุคกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก หนึ่งในนั้นคือเรื่อง ทองเนื้อเก้า โดยในฉากละคร มีการใช้สถานที่บริเวณตลาดคลอง 12 หกวาเป็นสถานที่สำหรับการถ่ายทำละคร ทำให้ผู้ชมและประชาชนทั่วไปที่เคยดูละครเรื่องทองเนื้อเก้า ได้รู้จักกับตลาดคลอง 12 หกวาแห่งนี้มากขึ้น ทำให้ตลาดเริ่มมีผู้คนกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง โดยเป็นลักษณะเชิงการท่องเที่ยวตลาดเก่าตามรอยละครดังต่าง ๆ
ใน พ.ศ. 2562 เป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ชุมชนได้รับผลกระทบอย่างมาก จากเดิมที่พอค้าขายได้ และมีนักท่องเที่ยวมาแวะเวียนพื้นที่ตลาดอยู่เป็นประจำกลายเป็นตลาดที่นักท่องเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสถานการณ์โควิดต้องมีการเว้นระยะห่าง กันเพื่อป้องกันการเกิดโรคติดต่อ รวมถึงความตื่นกลัวของผู้คนที่มีต่อโรคระบาดในเวลานั้น ทำให้ร้านค้าเหลือเพียงไม่ถึง 10 ร้าน เหล่าพ่อค้าแม่ค้าในตลาดจากเดิมที่พอขายได้ แต่เมื่อเกิดโรคระบาดทำให้สูญเสียรายได้ค่อนข้างมาก กลายเป็นว่ามีแต่ประชาชนในพื้นที่ที่แวะเข้าไปซื้อของเพราะความเคยชินและความผูกพันที่มีให้กับตัวตลาด แต่เนื่องจากค่าเช่าที่ราคาไม่แพง ทำให้ร้านค้าบางร้านยังพอที่จะมีรายได้ในการขายของและดำเนินกิจการต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดคลอง 12 หกวาจะไม่ได้เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่สำคัญเช่นอดีต แต่ด้วยความเก่าแก่และเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม ตลาดแห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจจากวงการละครและภาพยนตร์ โดยเฉพาะละครแนวย้อนยุคที่ต้องใช้ฉากที่มีความเก่าแก่และมีบรรยากาศแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชุมชนชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่สำคัญเช่นในอดีต แต่ก็ยังคงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ซึ่งควรได้รับการอนุรักษ์ให้คงอยู่ต่อไปในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน
📍 แผนที่ร้าน
59/388 แขวง คลองถนนสอง
เขต กระทุ่มราย กรุงเทพมหานคร 10530
☎️ ช่องทางการติดต่อ
🌐 Facebook: Prim Organic
✉️ Gmail: herb.primorganic@gmail.com
📞 โทร: +66 991109179










